วันเสาร์ที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2558

ข้อดีของนโยบาย Single Gateway

1. มีความเท่าเทียม เนื่องจากเมื่อมี Single Gateway แล้ว ด้วยประสิทธิภาพการบริหารระบบของของหน่วยงานราชการไทย ความเร็วของอินเตอร์เน็ตไม่ว่าจะเป็นค่ายไหน ยี่ห้อไหน น่าจะลดลงมาเทียบเท่ากับ TOT ด้วยเหตุนี้เมื่อเรามี Single Gateway แล้ว คาดว่าทั่วทุกบ้านที่ใช้อินเตอร์เน็ตในประเทศไทยน่าจะได้ใช้อินเตอร์เน็ตความเร็ว TOT อย่างเท่าเทียมกัน
2. มีความร่วมสมัยแบบฮิปสเตอร์ สืบเนื่องจากข้อ 1 หากใครเคยใช้อินเตอร์เน็ต TOT จะเข้าใจดีว่า การเข้าหน้าเว็บหรือโหลดไฟล์แต่ละไฟล์จะต้องใช้เวลามากแค่ไหน ดังนั้นเราจึงต้องใช้เวลามากขึ้น และทำอะไรให้ช้าลง การมีชีวิตช้าลงนั้นสอดคล้องกับเทรนด์ "สโลว์ไลฟ์" แบบฮิปสเตอร์ภาพจางที่กำลังแพร่ระบาดอยู่ในพันทิป ดังนั้น นโยบายนี้จึงจะทำให้เรามีความร่วมสมัยแบบฮิปสเตอร์เพราะเราต้องใช้ชีวิตแบบสโลว์ไลฟ์บนอินเตอร์เน็ตที่สโลว์ๆ นั่นเอง
3. เป็นการฝึกสมาธิ จากข้อก่อนหน้า เมื่อเราต้องใช้ชีวิตอยู่บนอินเตอร์เน็ตสโลว์ๆ แล้ว หลายคนคงรู้สึกหงุดหงิด แต่จะทำอย่างไรได้ ในเมื่อเราไม่ใช่คนที่มีอำนาจล้มล้าง Single Gateway นั้นๆ แล้วมันก็ทำไปแล้ว สิ่งที่เราทำได้คือปลง ปล่อยวางกับมัน วิธีการที่ดีที่สุดคือการทำสมาธิ กำหนดลมหายใจระหว่างรอ หายใจเข้า หายใจออก และเข้าใจว่าโลกมันเป็นเช่นนั้นเอง เมื่อเจอแบบนี้บ่อยเข้า เราจะกลายเป็นคนที่มีสมาธิ จิตใจผ่องใส
4. อนุรักษ์ความเป็นไทย หากอินเตอร์เน็ตมีความเร็วน้อยลงแล้ว สิ่งแรกที่จะเห็นได้ชัดเจนคืออัตราการดาวน์โหลดเกมส์ฝรั่งและหนังโป๊ญี่ปุ่นน่าจะลดน้อยลง เมื่อเป็นเช่นนั้นอุตสาหกรรมหนังโป๊ในประเทศจะเติบโตขึ้น มีการถ่ายทำหนังโป๊ขายมากขึ้น รสนิยมหนุ่มไทยจะค่อยๆ เปลี่ยนเป็นการนิยมสาวไทยมากกว่าสาวญี่ปุ่นขาวๆ อึ๋มๆ นอกจากนี้ Single Gateway ยังทำให้การปิดกั้นข่าวสารจากภายนอกประเทศทำได้ง่ายขึ้น เราจึงจะไม่มีข่าวสารที่ทำให้แตกแยก มอมเมา เป็นขี้ข้าฝรั่ง มาทำให้กวนใจ ในยุคนี้จึงอาจเรียกได้ว่า ความเป็นไทยจะเบ่งบานสมดังปณิธาน คิม จอง อึน นั่นเอง

วันอังคารที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2558

ประสบการณ์รักษาภูมิแพ้ด้วย "แพทย์แผนจีน"



ผมเป็นภูมิแพ้จมูก (allergic rhinitis) ตั้งแต่เด็ก เคยทดสอบภูมิแพ้แล้วพบว่าแพ้ไรฝุ่น (HDM) ในระดับ 4+ ตั้งแต่เด็ก ผมควบคุมอาการโดยอาศัยยาแก้แพ้และยาสเตียรอยด์พ่นจมูกเป็นหลัก (ที่เคยใช้ได้แก้ Cetirizine หรือ Loratadine + Rhinocort Aqua หรือ Nasacort) จนปัจจุบันผมย้ายมารักษาที่โรงพยาบาลที่เป็นโรงเรียนแพทย์แห่งหนึ่งใน กทม ตามสิทธิ์ของมหาวิทยาลัย หมอให้ใช้ Fexofenadine 180 mg วันละครั้ง คู่กับยาพ่น Avamys พ่นจมูกข้างละ 2 กด วันละครั้ง มาเป็นเวลาเกือบ 2 ปีแล้ว ซึ่งอาการก็ทรงๆ ทรุดๆ โดยยังคงมีน้ำมูกอยู่ตลอดเวลา และเยื่อจมูกยังบวมมากอย่างรู้สึกได้ เพราะรู้สึกคัดจมูก หายใจลำบาก เหนื่อยง่าย แทบจะตลอดเวลา จนหมอแผนปัจจุบันที่รักษากำลังพิจารณาจะให้ฉีดยาภูมิแพ้ (Immunotherapy) ในอนาคตอันใกล้นี้แล้ว (ซึ่งในผมไปหาหมอครั้งสุดท้ายเมื่อต้นเดือน มิ.ย. และหมอจะนัดดูอาการอีกทีต้นเดือน ก.ย.)