วันจันทร์ที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2555

สวดมนต์ข้ามปี สวดไปทำไม ?

(ภาพการสวดมนต์ข้ามปี โดยชาวพุทธกลุ่มหนึ่งผู้มีจานบินเป็นของตัวเอง)


สำหรับปีใหม่ 2556 เป็นอีกปีที่ผมคงไม่ได้ไปไหน นอกจากไปหาหนังดูรอบดึกคนเดียวที่ EGV บางแค ซึ่งอยู่บนซีคอนบางแค หรือฟิวเจอร์ปาร์คบางแคเดิมนั่นเอง

มีคนชวนผมไปสวดมนต์ข้ามปี จริงๆ ผมก็สงสัยนะครับ ไม่รู้ว่าสวดมนต์ข้ามปีเนี่ย มันดีกว่าสวดมนต์ธรรมดายังไง แล้วยิ่งไปกว่านั้น ทำไมจะต้องไปรวมกลุ่มสวดมนต์กันเยอะแยะในวัดดึกๆ ดื่นๆ นั่งหลังขดหลังแข็ง

คำตอบที่เขามีให้ผม คือ "มันเป็นสิริมงคล จะทำให้ปีใหม่มีแต่สิ่งดีๆ" แถมยังว่าผมอีกว่าเป็นพวกคนบาป มีแต่อวิชชาในชีวิต (!!) โอ้ ชีวิตคนไทย แค่สวดมนต์ก็จะมีแต่สิ่งดีๆ แล้ว ดูจะเยี่ยมยอดไปเลยนะครับ มันน่าแปลกใจอยู่เหมือนกัน เมื่อการสวดมนต์กลายมาเป็นสิ่งที่ผูกติดกับความศักดิ์สิทธิ์ อภินิหาร ต่างๆ นาๆ ไปแล้ว บางคนบอกว่าสวดมนต์จะช่วยขจัดภัยอันตรายในชีวิต หรือบางคนยิ่งไปกว่านั้น การสวดมนต์จะทำให้บรรลุนิพพาน (ซึ่งคนพูดเองก็ยังคงไปหาหมอดู ทำบุญโลงศพ แก้กรรม ฯลฯ)

วันจันทร์ที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2555

เล่าเรื่อง The Other กับหลากมิติมุมมองทางสังคม


เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ผมได้ดู The Others (2001) ในวิชา Special Study in Western Art ตามปกติแล้วถ้าเป็นไปได้ ผมมักจะเลี่ยงไม่ดูหนังผี ไม่ใช่ว่าเพราะกลัว แต่หลายครั้งความ “ไม่มีอะไร” ของหนังผี ทำให้ผมไม่อยากเสียเวลาดู CG ที่มีแต่เทคนิค เร้าอารมณ์ แต่ปราศจากเนื้อหา

แต่กับ The Others แล้ว คงจะแตกต่างกันไป การจำยอมเป็นเหตุผลหนึ่งที่ผมจำเป็นต้องดู เพราะเป็นหนังที่เปิดในวิชาเรียน ประกอบกับเสียงลือเสียงเล่าอ้างถึงความดีงามของหนังเรื่องนี้ใน Pantip (ที่ปกติจะมีแต่หน้าม้ามาคอยเชียร์) ซึ่งเมื่อดูจบก็พบว่ามันน่าสนใจเหมือนเสียงลือเสียงเล่าอ้างนั้นจริงๆ ครับ การพูดคุยถกเถียงหลังการชมภาพยนตร์ สร้างประเด็นและคำอธิบายที่เกินไปจากตัวบท

วันอังคารที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2555

ประเด็นที่น่าสนใจของ Artist’s Talk



ไม่มีหลักฐานชัดเจนว่า Artist’s Talk เกิดขึ้นครั้งแรกในประเทศไทยเมื่อใด? รูปร่างหน้าตาของมันเป็นแบบไหน? และเขาพูดคุยอะไรกัน? นี่เป็นสิ่งที่ยากเกินจินตนาการ รวมไปถึง Artist’s Talk ในต่างประเทศเช่นกัน ในขณะที่ Artist’s Talk เป็นกิจกรรมที่ควบคู่มากับการให้คุณค่ากับการแสดงความคิดเห็นและวิพากษ์วิจารณ์ แต่เราเปรียบเสมือนเด็กแบเบาะที่กำลังหัดพูดและนำ Artist’s Talk มาเพียงตัวพิธีการและฉาบเคลือบไว้ด้วยเปลือกของพิธีรีตอง  ส่วนเนื้อหาสาระนั้นกลับเลือนหาย สังคมยังคงรักษาโครงสร้างลำดับชั้นของสถานภาพ, ความอาวุโสและความเป็นเครือญาติเอาไว้ และยังไม่มีวุฒิภาวะพอที่จะแยกการวิพากษ์วิจารณ์ออกจากความสัมพันธ์ส่วนบุคคล                                                              

นี่อาจดูเป็นเรื่องที่ล้าสมัยไปเสียแล้ว แต่กระนั้นโครงสร้างต่างๆ เหล่านี้ยังคงทิ้งร่องรอยไว้ให้เห็น Artist’s Talk ในยุคนี้จึงยังคงเป็นพิธีกรรมที่ศิลปินสถาปนาขึ้น พร้อมกับการให้ความสำคัญต่อบุคคลตามขนบระเบียบพิธีแบบไทยๆ ตั้งแต่พิธีเปิดการให้ประธานพูด หรือแม้กระทั่งการให้โอวาท ดังปรากฏในทุนสร้างสรรค์ ศิลปกรรม ศิลป์ พีระศรี ครั้งที่ 11 ณ หอศิลป์ มหาวิทยาลัยศิลปากรในวันนี้ มีศิลปินเข้าร่วมเสวนาจำนวน 4 ท่าน และอีก 4 ท่านจะเข้าร่วมเสวนาในสัปดาห์ถัดไป ศิลปินทั้ง 4 ท่านเป็นศิลปินที่มีสถานภาพเป็นอาจารย์ประจำมหาวิทยาลัย โดยส่วนใหญ่พูดถึงที่มา แรงบันดาลใจ รวมไปถึงการอธิบายผลงานตัวเองอย่างเสร็จสรรพ ผู้เข้าฟังส่วนใหญ่เป็นนักศึกษาจากคณะจิตรกรรม ประติมากรรมและภาพพิมพ์ โดยมีอาจารย์อำมฤทธิ์ ชูสุวรรณที่เป็นทั้งพิธีกรดำเนินรายงานและดำรงสถานะเป็นผู้อำนวยการหอศิลป์ของมหาวิทยาลัยศิลปากร บรรยากาศของ Artist’s Talk จึงเป็นไปในลักษณะเพื่อการศึกษา เป็นการถ่ายทอดเทคนิค ความรู้และประสบการณ์จากอาจารย์ไปสู่ลูกศิษย์  

เมื่อพระเจ้าอยู่ ณ ที่แห่งหนึ่ง : การพิสูจน์การมีอยู่ของพระเจ้าในยุคกลาง


                ปัญหาอภิปรัชญาเรื่องการมีอยู่ของพระเจ้า เป็นปัญหาทางปรัชญาปัญหาหนึ่งที่มีผู้ให้ความสนใจอยู่ในทุกยุคทุกสมัย ในมุมมองทางศาสนา พระเจ้าอาจมีอยู่ในฐานะของการเป็นผู้ยิ่งใหญ่ เป็นต้นกำเนิดของโลกและจักรวาล เป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุด (Supreme Being) แต่เมื่อวิทยาศาสตร์มีความก้าวหน้าขึ้น การพยายามอธิบายธรรมชาติอย่างเป็นระบบโดยนักวิทยาศาสตร์ ทำให้ความเชื่อในเรื่องของพระเจ้าซึ่งไม่สามารถพิสูจน์ได้จากวิทยาศาสตร์ถูกมองว่าเป็นเรื่องล้าหลังงมงาย

มอง “ความรัก” ผ่านแว่นปรัชญาและศาสนา



                “ความรัก” อาจเป็นคำธรรมดาที่มีพลังกระทบกระเทือนมนุษย์มากที่สุดคำหนึ่ง หลายคนโหยหาความรัก หลายคนพยายามทำทุกอย่างเพื่อให้ได้รับความรัก หลายคนมีความสุขเพราะความรัก และหลายคนก็เจ็บปวดเพราะความรัก ความรักมีบทบาทกับชีวิตมนุษย์ในหลายรูปแบบ นอกจากในแง่ความรู้สึกของมนุษย์แล้ว ในบางศาสนาเช่นศาสนาคริสต์ ความรักยังเป็นเสมือนศูนย์กลางทางความคิด เป็นลักษณะนามธรรมบางอย่างที่อธิบายถึงความสัมพันธ์ระหว่าง “มนุษย์” กับ “พระเจ้า”
                คงไม่มีใครในโลกไม่ปรารถนาความรักและคงไม่มีใครในโลกที่มีชีวิตอยู่ได้โดยปราศจากความรัก  หลายครั้ง มนุษย์พยายามที่จะทำความเข้าใจความรัก หาคำนิยามความรัก หลายคนทุ่มเททั้งชีวิตเพื่อที่จะเข้าใจความรัก แต่ก็ดูเหมือนว่าจะไม่สามารถเข้าใจ “ความรัก” ได้สักทีหนึ่ง

การเมืองกับอาการ “พูดไม่ออก” ในนิทรรศการ Speechless


(นิทรรศการ อวัจนะ (Speechless) โดย นิพันธ์ โอฬารนิเวศน์ ณ 100 ต้นสนแกลเลอรี่ วันที่ 11 ตุลาคม 2555– 13 มกราคม 2556 )
  
          หลายครั้ง การไม่พูดก็เป็นการสื่อสาร และยิ่งกับบางเรื่องที่ไม่อาจพูดถึงได้อย่างเช่นประเด็นทางการเมือง การสื่อสารโดยการไม่พูด ก็คงจะเป็นช่องทางการสื่อสารที่น่าสนใจ
            นิทรรศการ “อวัจนะ” หรือ Speechless ของนิพันธ์ โอฬารนิเวศน์ ก็เป็นหนึ่งในการสื่อสารโดย “ไม่พูด” แต่การ “ไม่พูด” ของนิพันธ์มิได้หมายความว่าไม่มีอะไรจะพูด หากแต่น่าจะเป็นภาวะของการ “พูดไม่ออก” หรือ “ไม่รู้จะพูดอย่างไร” เสียมากกว่า นิพันธ์สร้างงานชุดนี้โดยผูกอยู่กับพื้นที่อย่างสวนลุมพินี และเหตุการณ์บางอย่างที่เกิดขึ้นเมื่อเดือนพฤษภาคม 2553 บริเวณสวนลุมพินี สิ่งเหล่านี้ถูกเน้นย้ำด้วยพื้นที่การจัดแสดงงานนิทรรศการอย่าง 100 ต้นสน แกลอรี่ ที่อยู่ในพื้นที่ใกล้เคียงกับสวนลุมพินีด้วยเช่นกัน ซึ่งทำให้ประเด็นเรื่องพื้นที่ดูน่าสนใจมากขึ้น เพราะในขณะที่ศิลปินมีประสบการณ์ส่วนตัวกับพื้นที่ พื้นที่ก็เป็นตัวเชื่อมประสบการณ์ส่วนตัวของศิลปินเข้ากับเหตุการณ์ทางการเมือง และยิ่งผลงานถูกนำมาจัดแสดงบนพื้นที่ที่อยู่ใกล้เคียงกับพื้นที่จริง การสร้างภาพตัวแทนของพื้นที่ดังกล่าวก็ยิ่งมีพลังในการสื่อสารมากขึ้น