วันจันทร์ที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2555

เล่าเรื่อง The Other กับหลากมิติมุมมองทางสังคม


เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ผมได้ดู The Others (2001) ในวิชา Special Study in Western Art ตามปกติแล้วถ้าเป็นไปได้ ผมมักจะเลี่ยงไม่ดูหนังผี ไม่ใช่ว่าเพราะกลัว แต่หลายครั้งความ “ไม่มีอะไร” ของหนังผี ทำให้ผมไม่อยากเสียเวลาดู CG ที่มีแต่เทคนิค เร้าอารมณ์ แต่ปราศจากเนื้อหา

แต่กับ The Others แล้ว คงจะแตกต่างกันไป การจำยอมเป็นเหตุผลหนึ่งที่ผมจำเป็นต้องดู เพราะเป็นหนังที่เปิดในวิชาเรียน ประกอบกับเสียงลือเสียงเล่าอ้างถึงความดีงามของหนังเรื่องนี้ใน Pantip (ที่ปกติจะมีแต่หน้าม้ามาคอยเชียร์) ซึ่งเมื่อดูจบก็พบว่ามันน่าสนใจเหมือนเสียงลือเสียงเล่าอ้างนั้นจริงๆ ครับ การพูดคุยถกเถียงหลังการชมภาพยนตร์ สร้างประเด็นและคำอธิบายที่เกินไปจากตัวบท

ครอบครัวของเกรซอาศัยกันอยู่ 3 คน สามีของเกรซไปออกรบในสงครามโลก ลูก 2 คนของเธอเป็นโรคแพ้แสง เธอต้องปิดหน้าต่างและม่านทุกๆ ส่วน เพื่อไม่ให้แสงเข้ามาในบ้าน อยู่มาวันหนึ่ง คนใช้ทั้งหมดก็ทิ้งบ้านไป และมีคนใช้ 3 คนมาสมัคร โดยอ้างว่าเห็นในหนังสือพิมพ์ แต่สิ่งที่น่าสนใจคือเกรซยังไม่ได้ประกาศรับแต่อย่างใด

การหักมุมของหนังเป็นอะไรที่ผมคาดไม่ถึงพอสมควร ถึงแม้ว่าตั้งแต่ฉากเริ่มต้นจะมีอะไรแปลกประหลาดโผล่ออกมาสม่ำเสมอ ตั้งแต่เปียโนที่ตั้งอยู่ในบ้าน หากแต่เจ้าของบ้านไม่ชอบให้เล่น หรือแม้กระทั่งป้าคนใช้ที่แสดงเก่งมาก แววตาท่าทางบ่งบอกถึงความลับที่เก็บงำซ่อนไว้ รวมถึงการที่อยู่ๆ คนใช้ทิ้งบ้านไปเฉยๆ ลูกสาวของเกรซพูดเน้นย้ำถึงเรื่องผีบ่อยๆ ว่าเป็นอะไรที่เดินไปเดินมาได้ และมีผ้าขาวๆ คลุม คำอธิบายนี้แหละครับ ทำให้ผมถึงบางอ้อ เมื่อเกรซแต่งชุดให้กับลูกสาวเพื่อจะเข้าพิธีรับศีล และเกรซก็เอาผ้าขาวลงมาคลุมหัวของลูก ตรงนี้ทำให้สมมติฐานผมกระจ่างมากว่า สุดท้ายแล้ว ผีก็หลอกผีด้วยกันเอง และพาลนึกว่าคนเป็นผีไปซะอย่างนั้น หนังเรื่องนึจึงน่าจะเริ่มต้นขึ้นจากความตาย นั่นคือทั้งหมดที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องชีวิตหลังความตายทั้งสิ้น การปิดทุกส่วนในบ้านจากโลกภายนอก สะท้อนนัยถึงการปกปิดอะไรบางอย่าง และยิ่งชัดเจนมากขึ้นเมื่อความตายที่เกิดขึ้นมิได้เป็นเรื่องธรรมชาติ หากแต่เกิดจากการกระทำที่จำเป็นต้องปิดบัง




(เข้าสู่โหมดเครียด)
จริงๆ หนังเรื่องนี้มีนัยทางศาสนาแฝงอยู่พอสมควร โดยเฉพาะความสัมพันธ์กับศาสนาคริสต์ คัมภีร์ไบเบิลปรากฏอยู่ตลอดเรื่องจากการที่เกรซมักจะสอนให้ลูกจำข้อความในคัมภีร์เสมอ หากแต่เรื่องนี้ก็มิได้เป็นไปในเชิงสนับสนุนศาสนาคริสต์ หลากหลายช่วงเป็นไปเพื่อจะตั้งคำถามกับศาสนาคริสต์เสียมากกว่า เมื่อลูกชายและลูกสาวของเกรซตอบคำถามแม่บ้านว่าพวกเขาไม่ได้เชื่อในคัมภีร์เสียหมด รวมถึง “ผี” ที่ปรากฏในเรื่องก็มิใช่ผีที่คลุมผ้าขาวมีโซ่ตรวนตามคำสอนในศาสนาคริสต์ และที่เป็นจุดพีคที่สุดคือการที่แม่บ้านบอกว่า หลายครั้งความจริงก็ไม่ใช่คำตอบของทุกอย่าง มโนทัศน์ความจริงในหนังเป็นเรื่องที่น่าสนใจครับ เมื่อเกรซไม่สามารถออกไปจากบ้านได้เลย และเขาก็ไม่รู้ว่าตัวเองตายแล้ว เมื่อเดินออกจากตัวบ้านเขาก็จะพบกับหมอกลงหนา นั่นหมายถึงว่าเขากำลังถูกจำกัดกรอบไว้ในพื้นที่ของตัวบ้าน เราอาจตีความได้ว่ามันคือโลกที่พระเจ้าสร้างขึ้น มนุษย์ก็ถูกจำกัดอยู่ในโลกของพระเจ้า และความจริงก็คือโลกหรือบ้านนั่นเอง ในทางศาสนาคริสต์ ไบเบิลถือเป็นคัมภีร์ที่จะเข้าสู่ความจริงสูงสุดนั่นก็คือพระเจ้า ซึ่งโดยนัยของคำพูดแม่บ้าน อาจหมายถึงว่า พระเจ้าก็คงไม่ใช่คำตอบทุกอย่าง

อย่างไรก็ตามการตั้งคำถามก็ไม่ได้หมายถึงการปฏิเสธ การที่เด็กไม่มีพ่อหรือการที่ทั้งเกรซและลูกโหยหาพ่อ เมื่อผนวกเข้ากับนัยทางศาสนาที่ปรากฏอยู่ในคำพูดและคัมภีร์ไบเบิลแล้ว คำว่าพ่อจึงสอดคล้องกับสถานะของพระบิดา การโหยหาพ่อจึงเปรียบเสมือนการยอมรับความอ่อนแอของมนุษย์และโหยหาพระเจ้าหรือผู้ที่แข็งแกร่งเป็นเครื่องยึดเหนี่ยว หากแต่สิ่งที่ซ่อนอยู่ในภาพยนตร์มิได้เป็นการบอกให้โหยหาพระเจ้าเพียงอย่างเดียว แต่ยังแฝงการประชดประชันเสียดสี เมื่อพ่อหรือสามีของเกรซกลับมา แต่เป็นเพียงผู้ชายที่ทำอะไรไม่ได้ ไร้ชีวิตชีวา ตกอยู่ภายใต้อำนาจของเกรซ นั่นอาจเป็นไปได้ว่า มนุษย์ยังคงต้องการที่พึ่ง ต้องการพระเจ้า หากแต่จริงๆ แล้ว พระเจ้านั่นแหละที่กำลังอยู่ในสภาพที่ใช้การไม่ได้ และเมื่อพิจารณาถึงการที่เกรซปฏิเสธเสียง โดยเฉพาะเสียงเปียโนที่จะไปรบกวนโสตประสาทของเธอที่เป็นไมเกรน น่าอัศจรรย์ใจที่ว่า นัยของเสียงกลับไปล้อรับกับเหตุการณ์ในคัมภีร์ไบเบิลเสียพอดี เมื่อการสื่อสารกับพระเจ้าในคัมภีร์ไบเบิล เป็นการสื่อสารผ่านทางพระสุรเสียงของพระเจ้า การปฏิเสธเสียงของเกรซจึงอาจมีนัยถึงการพยายามปฏิเสธพระสุรเสียงของพระเจ้านั่นเอง

ความย้อนแย้งหลายประการปรากฏอยู่ในภาพยนตร์เรื่องนี้ราวกับเป็นการตั้งคำถาม นอกจากประเด็นทางศาสนาคริสต์แล้ว ในแง่ตัวตน ตอนต้นเรื่องที่มีเสียงลึกลับหรือเหตุการณ์ประหลาด เกรซก็พยายามสอนลูกไม่ให้เชื่อเรื่องผี หากแต่ว่า เมื่อเกรซและลูกไม่เชื่อเรื่องผี นั่นหมายถึงว่าทุกคนกำลังไม่เชื่อในการมีอยู่ของตัวเองด้วยเช่นกัน

นอกจากการพิจารณาในกรอบคิดทางศาสนาแล้ว ประเด็นหนึ่งที่น่าสนใจคือการที่ภาพยนตร์เรื่องนี้มีตัวละครหญิงเป็นผู้นำเรื่อง อำนาจในบ้านตกอยู่ในมือของเกรซที่เป็นผู้หญิง กลุ่มคนใช้ในบ้านก็เช่นกัน หญิงแม่บ้านก็มีบทบาทที่โดดเด่นเสียกว่าคนสวนที่เป็นผู้ชาย รวมถึงการที่สามีของเกรซที่กลับมาในสภาพที่อ่อนแอทำอะไรไม่ได้ จึงทำให้อดคิดไม่ได้ถึงนัยที่เกี่ยวกับเฟมินิสต์หรือการพยายามถอดรื้อวาทกรรมชายเป็นใหญ่ในสมัยนั้นนั่นเอง



เมื่อพิจารณาในกรอบใหญ่ สามีของเกรซตายในสงคราม ฉากทั้งหมดของเรื่องเป็นบ้านหลังหนึ่ง และมีผู้บุกรุกซึ่งเป็นคนที่มาเช่าบ้าน ทุกๆ สถานที่มีความทรงจำ หากแต่ผู้บุกรุกหรือผู้ที่ไม่เกี่ยวข้องก็ไม่อาจต่อติดกับความทรงจำเดิมๆ หรือบาดแผลที่มีอยู่ของสถานที่นั้นๆ ได้ การที่เกรซและลูกสูญเสียพ่อหรือสามีไปจากสงคราม สิ่งเหล่านั้นเป็นบาดแผลที่ประทับเป็นความทรงจำผูกติดอยู่กับสถานที่นั้นๆ เช่นเดียวกับการสูญเสียของสงคราม ผู้บุกรุกหรือผู้ที่ไม่เกี่ยวข้องก็มิอาจเข้าใจถึงความสูญเสีย และต่อติดกับความทรงจำที่เป็นบาดแผลของสถานที่นั้นๆ ได้ เมื่อมีสงคราม และในเรื่องที่ตัวละครเป็นคนอังกฤษ คำถามจากลูกของเกรซที่ตามมาด้วยคำตอบของเกรซว่าฝ่ายธรรมะก็คืออังกฤษ สะท้อนถึงการแบ่งแยกเป็นขั้วตรงข้ามอย่างชัดเจน ตามสถานการณ์จริง อังกฤษและเยอรมันอาจเป็นฝ่ายธรรมะหรืออธรรมได้ด้วยกันทั้งคู่ ขึ้นอยู่กับว่าบุคคลผู้พิจารณาอยู่ในสถานะ เหตุการณ์ สถานที่ วัฒนธรรม และเวลาใด สุดท้ายแล้ว The Others ก็คงมิได้หมายถึงความเป็นอื่น หากแต่ The Others อาจเป็นคนอื่นที่มิใช่ความเป็นอื่นจริงๆ

สิ่งเหล่านี้ล่ะครับ ที่ทำให้ The Others ไม่ได้เป็นแค่หนังผีที่ปราศจากเนื้อหา หากแต่ The Others เป็นหนังผีที่หลบซ่อนมิติต่างๆ นัยและมุมมองทางสังคมไว้มากมายจนล้น มุมมองทั้งหมดนี้ก็ไม่ได้เกิดขึ้นจากผมคนเดียว หากแต่เป็นประเด็นที่พี่ๆ นักศึกษาและอาจารย์ได้เปิดประเด็น ตั้งคำถามเอาไว้

The Others จึงมิได้เป็นเพียงแค่ภาพยนตร์ หากแต่ The Others นั้นเป็นถึงภาพยนตร์ต่างหาก หนังเรื่องนี้น่าจะเป็นหนึ่งในไม่กี่เรื่องที่หน้าม้าแห่ง Pantip ทำงานไม่พลาด นับว่าเป็นหนังในความทรงจำของผมอีกเรื่องหนึ่งที่จะต้องหาโอกาสกลับมาดูอีกครั้งแน่นอนครับ

2 ความคิดเห็น:

  1. วิจารณ์ได้เฉียบคมมากค่ะ

    ตอบลบ
  2. พึ่งดูจบ
    เรื่องนี้แฝงอะไรไว้เยอะอย่างที่คุณวิจารณ์เลย

    ตอบลบ