วันอังคารที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2555

เมื่อพระเจ้าอยู่ ณ ที่แห่งหนึ่ง : การพิสูจน์การมีอยู่ของพระเจ้าในยุคกลาง


                ปัญหาอภิปรัชญาเรื่องการมีอยู่ของพระเจ้า เป็นปัญหาทางปรัชญาปัญหาหนึ่งที่มีผู้ให้ความสนใจอยู่ในทุกยุคทุกสมัย ในมุมมองทางศาสนา พระเจ้าอาจมีอยู่ในฐานะของการเป็นผู้ยิ่งใหญ่ เป็นต้นกำเนิดของโลกและจักรวาล เป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุด (Supreme Being) แต่เมื่อวิทยาศาสตร์มีความก้าวหน้าขึ้น การพยายามอธิบายธรรมชาติอย่างเป็นระบบโดยนักวิทยาศาสตร์ ทำให้ความเชื่อในเรื่องของพระเจ้าซึ่งไม่สามารถพิสูจน์ได้จากวิทยาศาสตร์ถูกมองว่าเป็นเรื่องล้าหลังงมงาย


ความเชื่อเรื่อง “พระเจ้า”
                ความเชื่อเกี่ยวกับพระเจ้า ถูกสันนิษฐานว่ามีต้นกำเนิดจากความเชื่อแบบวิญญาณนิยม (Animism) ของคนยุคดึกดำบรรพ์ ปานทิพย์ ศุภนคร[1] ได้อธิบายไว้ว่า จากความเชื่อที่ว่าโลกเป็นที่อยู่อาศัยของวิญญาณนับไม่ถ้วนทั้งเป็นมิตร ไม่เป็นมิตร หรือไม่มีผลต่อมนุษย์ ต่อมาเมื่อมนุษย์สังเกตเห็นอำนาจของบางสิ่งบางอย่างที่เหนือกว่าสิ่งอื่นๆ มนุษย์จึงเชื่อว่าสิ่งเหล่านี้เป็นยิ่งกว่าวิญญาณโดยทั่วๆ ไป คือ เป็นเทพหรือเป็นพระเจ้า เช่น ความรุนแรงของปรากฏการณ์ธรรมชาติ จึงทำให้เกิดความเชื่อว่า มีเทพเป็นผู้ทำให้เกิดปรากฏการณ์ดังกล่าว อันนำมาซึ่งความเชื่อในเรื่องเทพประจำธรรมชาติของมนุษย์ในยุคโบราณ โดยเทพประจำธรรมชาตินั้นมีหลายองค์ (พหุเทวนิยม : Polytheism) ในขณะที่ลัทธิพหุเทวนิยมบางแบบ ยกย่องให้มีเทพบางองค์ที่ยิ่งใหญ่กว่าเทพองค์อื่น ซึ่งอาจเกิดจากความเกี่ยวข้องกับพิธีกรรมหรือความเชื่อบางอย่างที่ทำให้เทพประจำธรรมชาติบางองค์มีความสัมพันธ์กับมนุษย์มากกว่าเทพองค์อื่น แต่ความเชื่อแบบนี้ก็มิได้ปฏิเสธการมีอยู่ของเทพองค์อื่นแต่อย่างใด แมกซ์ มิลเลอร์ (Max Miller) นักวิชาการชาวเยอรมันเรียกความเชื่อแบบนี้ว่า อติเทวนิยม (Henotheism)  ซึ่งต่อมา เมื่อมนุษย์พยายามจะเข้าใจถึงระเบียบของสิ่งต่างๆ และมีความเชื่อว่าระบบทั้งหลายน่าจะมีระบบระเบียบที่สอดคล้องเป็นรูปแบบเดียวกันรองรับ และที่มาของระเบียบดังกล่าวก็น่าจะเป็นหนึ่งเดียว มิใช่หลายหลาก จึงทำให้เกิดความเชื่อในพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่องค์เดียว หรือ เอกเทวนิยม (Monotheism) ขึ้น โดยถือว่ามีพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่เพียงพระองค์เดียวเท่านั้น โดยความยิ่งใหญ่ของพระเจ้าก็มิได้หมายความว่าพระองค์ยิ่งใหญ่กว่าพระเจ้าองค์อื่นๆ แต่หมายความว่าไม่มีพระเจ้าองค์อื่น และเหนือสิ่งอื่นใดทรงเป็นความจริงสูงสุด (Ultimate Reality) ในการสนทนาครั้งหนึ่ง ตรีนุช พลางกูร[2] ได้เสนอความคิดที่น่าสนใจว่าพัฒนาการจากพหุเทวนิยม (Polytheism) จนถึงเอกเทวนิยม (Monotheism) อาจมิได้มีเหตุผลในเชิงปรัชญาเพียงอย่างเดียว แต่มีเหตุผลในเชิงอำนาจการปกครอง ที่ในสมัยก่อน ศาสนาและความเชื่อ ถือเป็นเครื่องมือหนึ่งในการปกครอง และการทำให้เกิดเอกภาพทางความเชื่อโดยการสถาปนาเทพบางองค์ขึ้นมาให้ยิ่งใหญ่กว่าเทพองค์อื่น เป็นเหตุผลในการสร้างเอกภาพทางความเชื่อเพื่อเอกภาพในการปกครองด้วยเช่นกัน
                ความเชื่อเรื่องพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่องค์เดียวปรากฏอยู่ในศาสนาหลายๆ ศาสนา ที่เป็นศาสนาหลักๆ คือ ศาสนายูดาย (Judaism) ศาสนาคริสต์ (Christianity) และศาสนาอิสลาม (Islam) แม้ว่าทั้ง 3 ศาสนาจะนับถือพระเจ้าองค์เดียวกัน โดยในศาสนายูดายและคริสต์ เรียกว่า พระยะโฮวาห์ (Jahovah) หรือพระยะเวห์ (Yaweh) ส่วนศาสนาอิสลามเรียกว่า อัลเลาะห์(Allah) แต่ธรรมชาติของพระเจ้าที่ถูกตีความจาก 3 ศาสนาก็มีความแตกต่างกันในหลายๆ ประเด็น เช่น การที่ศาสนาคริสต์อธิบายว่าพระเจ้ามีหนึ่งเดียว แต่มีลักษณะไตรภาค (Trinatarianism) ซึ่งในศาสนายูดาย การที่พระเจ้าแบ่งเป็นสามภาคได้ทำลายเอกลักษณะของพระองค์ และเป็นสาเหตุที่ทำให้คนยิวปฏิเสธองค์พระเยซูคริสต์ที่ประกาศว่าพระองค์เป็นบุตรของพระเจ้า[3]
                ความเจริญก้าวหน้าของวิทยาศาสตร์ ทำให้ความเชื่อที่ว่าพระเจ้าเป็นผู้สร้างโลกและเป็นผู้ยิ่งใหญ่สั่นคลอนลง กระแสมนุษยนิยมที่มีมาตั้งแต่สมัยเรเนสซองส์ที่ให้ความสำคัญกับมนุษย์มากกว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ และเชื่อว่ามนุษย์สามารถที่จะกำหนดชีวิตตัวเองได้ ศาสนาจึงมีความสำคัญลดลง หลายคนเลือกที่จะไม่นับถือศาสนา (irreligious) และเลือกที่จะไม่เชื่อในสิ่งศักดิ์สิทธิ์เหนือธรรมชาติ (Atheism) ศาสนาที่นับถือพระเจ้าจึงจำเป็นที่จะต้องปรับเปลี่ยนให้เข้ากับยุคสมัย และทำให้สถานะของพระเจ้าเปลี่ยนไปจากในอดีตให้เข้ากับยุคสมัยมากขึ้น

การพิสูจน์การมีอยู่ของ “พระเจ้า” ในทางปรัชญา
                ถึงวิทยาศาสตร์จะเจริญก้าวหน้ามากขึ้นก็ตาม แต่ปัญหาอภิปรัชญาเรื่องการมีอยู่ของพระเจ้าก็ยังไม่สามารถหาข้อสรุปได้ แม้หลายคนในปัจจุบันเลือกที่จะไม่เชื่อในพระเจ้าก็ตาม แต่ก็ยังไม่สามารถหาข้อสรุปได้ว่าตกลงแล้ว พระเจ้ามีจริงหรือไม่
                ย้อนกลับไปในยุคกลาง แม้ในช่วงเวลาหลังการสิ้นสุดของอาณาจักรโรมันจนถึงยุคฟื้นฟูศิลปะวิทยาการ จะถูกขนานนามว่าเป็น “ยุคแห่งความมืดบอด”  เพราะถูกครอบงำโดยศาสนาคริสต์ก็ตาม แต่ก็ยังคงมีนักปรัชญาที่เสนอทัศนะทางปรัชญาอยู่เช่นกัน โดยนักปรัชญายังคงตั้งคำถามอย่างลุ่มลึกกับความเชื่อของศาสนาคริสต์ ตลอดจนพยายามหาเหตุผลมาเสริมศรัทธาในศาสนาคริสต์ เพื่อทำให้ความเชื่อในศาสนามีเหตุผลรองรับ ประเด็นเรื่องการมีอยู่ของพระเจ้าก็เป็นปัญหาทางปรัชญาข้อหนึ่งที่นักปรัชญาในสมัยกลางเสนอทัศนะเพื่อพิสูจน์ว่าพระเจ้ามีจริง


(
St.Anselm of Canterbury 1033-1109)

                ในยุคอัสมาจารย์ (Scholastic Period)[4] St.Anselm เป็นคนหนึ่งที่พยายามอธิบายเรื่องการมีอยู่ของพระเจ้า St. Anselm ได้ให้กำเนิดทฤษฎี Ontological Proof ขึ้นมาเพื่อพิสูจน์การมีอยู่ของพระเจ้า โดยเน้นจากความเข้าใจเกี่ยวกับความหมายของ “พระเจ้า” กล่าวคือเมื่อพูดถึงพระเจ้า ทุกคนจะสามารถเข้าใจได้ทันทีว่าเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุด และมนุษย์ไม่สามารถคิดถึงสิ่งที่ยิ่งใหญ่ไปกว่านี้ได้อีกแล้ว ดังนั้น เมื่อพูดถึงสิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุด สิ่งนั้นจึงต้องมีอยู่จริงด้วน มิฉะนั้นก็ไม่อาจเรียกได้ว่าเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่ เมื่อเราพูดถึงว่าพระเจ้าเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ดังนั้น พระเจ้าจึงต้องมีอยู่จริง มิฉะนั้นแล้วจะกลายเป็นความขัดแย้งทางความคิดอย่างแน่นอน ถ้าเข้าใจว่าพระเจ้าคือสิ่งที่ยิ่งใหญ่ แต่กลับไม่ยอมรับว่าพระเจ้ามีอยู่จริง การพิสูจน์การมีอยู่ของพระเจ้าโดย St.Anselm สามารถสร้างเป็นบทพิสูจน์ได้ดังนี้[5]
                                
                                พระเจ้าคือผู้สมบูรณ์ที่สุด
                                แต่สิ่งที่สมบูรณ์ที่สุดจะต้องมีอยู่จริง
                                เพราะการมีอยู่จริงเป็นส่วนหนึ่งของความสมบูรณ์
                                ดังนั้น พระเจ้าต้องมีอยู่จริง


        มีผู้พยายามตอบโต้ข้อพิสูจน์ของ St.Anselm โดยอ้างว่าถ้าใครสักคนคิดถึงเกาะที่สวยที่สุด เกาะดังกล่าวไม่จำเป็นต้องมีอยู่จริง แต่ St.Anselm ก็ตอบโต้ข้อโต้แย้งดังกล่าวว่า การมีอยู่จริงเป็นคุณสมบัติของสิ่งที่สมบูรณ์ที่สุด แต่ไม่ใช่คุณสมบัติของสิ่งที่สวยที่สุด ดังนั้น เกาะที่สวยที่สุดสามารถมีอยู่ในความคิดโดยไม่ต้องมีอยู่จริงก็ได้ แต่เกาะที่สวยที่สุดก็ไม่ใช่สิ่งที่สมบูรณ์ที่สุด เพราะสิ่งที่สมบูรณ์ที่สุดจำเป็นต้องมีอยู่จริงนอกความคิดด้วย


(
St. Thomas Aquinas 1225-1274)

               นอกจาก St.Anselm แล้ว St. Aquinas ก็เป็นนักปรัชญาตะวันตกสมัยกลางอีกคนหนึ่งที่เสนอความคิดในการพิสูจน์การมีอยู่ของพระเจ้า St.Aquinas เป็นนักปรัชญาในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 13โดย St.Aquinas ใช้ข้อพิสูจน์ที่ได้รับอิทธิพลจากปรัชญาของอริสโตเติลในการพิสูจน์การมีอยู่ของพระเจ้า โดยเชื่อว่าจากประสบการณ์ของมนุษย์นั้น มนุษย์จะพบว่าปรากฏการณ์ของโลกน่าจะมีสาเหตุมาจากสาเหตุแรกที่สมบูรณ์และยิ่งใหญ่ โดยสาเหตุแรกที่ยิ่งใหญ่นั้นก็คือพระเจ้า การพิสูจน์ในลักษณะนี้เรียกว่า Cosmological Proof โดย St.Aquinas เสนอการพิสูจน์โดย 4 วิธี[6] ดังนี้
(1) การพิสูจน์จากการเคลื่อนไหว (Proof from Motion) ซึ่งมนุษย์จะสามารถสังเกตได้ว่าวัตถุจำเป็นต้องมีสาเหตุมากระทำให้มันเคลื่อนไหว และสาเหตุของการเคลื่อนไหวก็ไม่สามารถเคลื่อนไหวด้วยตัวเองได้ จำเป็นต้องมีสาเหตุของการเคลื่อนไหวมากระทำเช่นกันเป็นลูกโซ่ ดังนั้นจึงจำเป็นต้องมีสาเหตุแรก ซึ่งก็คือพระเจ้า
(2) การพิสูจน์จากการเป็นสาเหตุ (Proof from Causation) จากประสบการณ์ของมนุษย์จะพบว่าวัตถุในโลกนี้ไม่มีวัตถุใดเป็นสาเหตุให้กับตัวเอง (Self-Cause) เช่น รูปปั้นก็ต้องเกิดจากผู้ปั้น ในขณะที่ผู้ปั้นก็จำเป็นต้องมีสาเหตุอื่นที่ทำให้มีอยู่เช่นกัน ดังนั้น สาเหตุของสิ่งต่างๆ จะต่อเนื่องเป็นลูกโซ่มาจากสาเหตุแรก ซึ่งสาเหตุแรกก็คือพระเจ้า
(3) การพิสูจน์จากความไม่ยั่งยืน (Proof from Contingency) จากประสบการณ์ของมนุษย์จะพบว่า สรรพสิ่งในโลกล้วนเป็นสิ่งชั่วคราว ไม่มีอะไรสามารถดำรงอยู่ต่อไป แต่อย่างไรก็ตาม ก็ยังคงมีสรรพสิ่งเกิดขึ้นทดแทนกันตลอดเวลา และเรายังไม่เคยพบเหตุการณ์ที่ไม่มีอะไรหลงเหลืออยู่ในโลกเลย จึงจำเป็นต้องมีบางสิ่งบางอย่างที่คงอยู่ตลอดกาล และเป็นต้นกำเนิดของสรรพสิ่ง โดยสิ่งนั้นก็เป็นพระเจ้านั่นเอง และ
(4) การพิสูจน์จากระดับความสมบูรณ์ (Proof from Degrees of Perfection) เมื่อมนุษย์สามารถรับรู้ความไม่เท่าเทียมกันของความสมบูรณ์ในสิ่งต่างๆ นั่นย่อมหมายความว่ามีการเปรียบเทียบความสมบูรณ์ได้ และมีมาตรฐานที่เป็นสิ่งสมบูรณ์สูงสุด ซึ่งมาตรฐานที่เป็นสิ่งสมบูรณ์สูงสุดนี่เอง ก็คือพระเจ้า
                นอกจากการพิสูจน์โดยวิธี Cosmological Proof ทั้ง 4 วิธีแล้ว St.Aquinas ยังเสนอวิธี Teleological Proof มาอีกวิธีหนึ่ง โดยเน้นไปที่ความเป็นระเบียบของโลก ถ้าเราพบก้อนหินก้อนหนึ่ง เราคงไม่แปลกใจว่าใครเป็นคนสร้างมันขึ้นมา แต่ในกรณีของโลกที่มีความซับซ้อนและเป็นระบบชัดเจน ต้นกำเนิดของโลกจึงน่าจะเป็นผลงานของสิ่งที่ยิ่งใหญ่และมีปัญญาสูงสุด ซึ่งก็คือพระเจ้า
                นอกจากทัศนะของ St.Anselm และ St.Aquinas แล้ว ข้อพิสูจน์จากความรู้สึกทางศีลธรรม (Moral Arguement) และข้อพิสูจน์จากปาฏิหาริย์ (The Argument from Special Events and Experience) ก็เป็นอีกทัศนะหนึ่งที่นักปรัชญาเสนอให้ใช้ในการพิสูจน์การมีอยู่ของพระเจ้า ในขณะที่มนุษย์เป็นสัตว์ที่มีศีลธรรมจริงจัง หนักแน่น และความรู้สึกทางศีลธรรมบางอย่างก็มิได้เกิดมาจากการสั่งสอนอบรมธรรมดา แต่มีความหนักแน่นมากกว่าและเป็นสากล ดังนั้น พระเจ้าจึงน่าจะเป็นต้นกำเนิดของความรู้สึกทางศีลธรรม และพระเจ้าจึงต้องมีอยู่จริง นอกจากเรื่องของศีลธรรม หลายครั้งในชีวิตมนุษย์ก็มีปาฏิหาริย์ เช่น การรอดตายอย่างปาฏิหาริย์ หรือการมีความปรารถนาและได้รับการตอบสนองอย่างเหลือเชื่อ ปรากฏการณ์ดังกล่าวย่อมทำให้อดคิดถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เข้ามาช่วยดูแลอย่างพระเจ้าไปไม่ได้
                มีผู้ตั้งข้อสังเกตว่า ถ้าพระเจ้ามีจริง ทำไมพระเจ้าจึงไม่ปรากฏตัวต่อมนุษย์ หรือปรากฏอย่างคลุมเครือจนต้องมีการตีความ คำตอบต่อปัญหาดังกล่าวอาจเป็นไปได้ว่า พระองค์ปรารถนาความรักและความเชื่อที่มนุษย์ตัดสินใจกระทำด้วยตัวเอง และมนุษย์ก็มีเจตจำนงเสรี (Free Will) ในการที่จะเลือก ดังนั้น พระเจ้าจึงปรารถนาที่จะปรากฏพระองค์ในลักษณะที่มนุษย์เลือกตีความด้วยตัวของมนุษย์เอง ซึ่งโดยคำอธิบายนี้ก็สอดคล้องกับความพยายามนำเหตุผลทางปรัชญามาอธิบายการมีอยู่ของพระเจ้าในสมัยกลางเช่นเดียวกัน

ศรัทธาและเหตุผล : ความสัมพันธ์ของมนุษย์กับพระเจ้า
                มีคำถามว่า การใช้เหตุผลเพื่ออธิบายความเชื่อทางศาสนา สามารถโน้มน้าวให้คนไม่เชื่อหันกลับมาเชื่อได้หรือไม่ หรือในทางตรงกันข้ามถ้าหากไม่มีข้อพิสูจน์การมีอยู่ของพระเจ้าที่สมเหตุสมผล คนที่มีศรัทธาในพระเจ้าจะเลิกศรัทธาในพระเจ้าหรือไม่ ถึงที่สุดแล้ว คำตอบของมันก็อาจจะไม่ใช่ คนที่ศรัทธาในพระเจ้าก็ศรัทธาอยู่แล้ว ส่วนคนที่ไม่ศรัทธาในพระเจ้าก็มีแนวโน้มที่จะปฏิเสธเช่นนั้นอยู่แล้ว[7]
                หลายครั้ง ความศรัทธาที่มากเกินไปอาจหมายถึงความคุ้มคลั่ง อันเป็นสิ่งที่อันตราย แต่กับความศรัทธาในพระเจ้า อาจต่างกันออกไป Blaise Pascal นักปรัชญาชาวฝรั่งเศสได้เปรียบคนมีความศรัทธาในพระเจ้าเหมือนกับนักพนัน นักพนันอาจเสี่ยงโชคแต่เขาอาจจะรวยได้อย่างไม่รู้ตัว  นักพนันจึงมิได้จะเสียเงินอย่างเดียว แต่ก็มีโอกาสได้เงินด้วย เช่นเดียวกับคนที่มีความศรัทธาในพระเจ้า การเสี่ยงศรัทธาในพระเจ้าไม่ได้มีแต่เสียประโยชน์ แต่เขาก็สามารถได้ประโยชน์เช่นกัน ถึงจะเสียประโยชน์แต่ก็ไม่ได้หมดตัวเหมือนนักพนัน แต่ถ้าเกิดพระเจ้ามีจริง เขาก็พลอยได้ประโยชน์มหาศาล คือทางรอดจากบาป (Salvation) ไปด้วย เช่นเดียวกับนักปรัชญาชาวอเมริกัน William James ซึ่งได้แสดงทัศนะว่ามนุษย์ไม่สามารถาหลักฐานใดๆ ที่จะยืนยันว่า พระเจ้ามีจริงหรือไม่มีจริงด้วยกันทั้งคู่ ดังนั้น การศรัทธาในพระเจ้าก็มิใช่การฝ่าฝืนเหตุผลแต่อย่างใด ดังนั้น ถ้าจะนำผลประโยชน์มาเป็นมาตรฐานของการคิดและตัดสินใจกระทำ การมีศรัทธาในพระเจ้าก็จะมีประโยชน์กว่า เพราะถ้าเกิดพระเจ้ามีจริงก็จะพลอยได้ประโยชน์คือการรอดพ้นจากบาป (Salvation) เป็นรางวัล แต่หากลังเลมัวหาหลักฐานก็อาจไม่ทันได้เป็นผู้รอดพ้นจากบาปก็เป็นได้
                ในชีวิตเราอาจจำเป็นต้องใช้ศรัทธาและเหตุผลควบคู่กันไป ประเด็นเรื่องพระเจ้าก็เป็นอีกประเด็นหนึ่ง หลายครั้งเหตุผลอาจทำร้ายศรัทธา และหลายครั้งความศรัทธาอาจทำให้เราไม่กล้าใช้เหตุผล แต่เราจะทำอย่างไรเพื่อที่จะให้พบจุดกึ่งกลางระหว่างศรัทธาและเหตุผล
                แม้ชีวิตจะจำเป็นต้องมีเหตุผล แต่เหตุผลเพียงอย่างเดียวก็คงมิอาจตอบสนองต่อความต้องการทางจิตใจบางอย่างของมนุษย์ได้ ในขณะเดียวกันศรัทธาที่ไม่มีเหตุผลก็เป็นศรัทธาที่มืดบอด การมีศรัทธาควบคู่กับเหตุผล คงเป็นสิ่งหนึ่งที่น่าสนใจสำหรับผู้แสวงหาประสบการณ์บางอย่าง ที่อาจอยู่เหนือข้อเท็จจริงที่รับรู้ได้ทางผัสสะ การนำปรัชญามาอธิบายถึงความเชื่อทางศาสนาในยุคกลาง ก็เป็นหนทางหนึ่งที่จะทำให้ศรัทธากับเหตุผลมีอยู่ควบคู่กัน เช่นเดียวกับปัจจุบัน แม้เราอาจจะมองถึงศรัทธาในบางสิ่งบางอย่างว่าเป็นความงมงาย แต่เราก็คงปฏิเสธไม่ได้ว่ามนุษย์จำเป็นต้องมีศรัทธา อย่างน้อยที่สุด คือการศรัทธาในตนเอง และสำหรับในบางศาสนาก็คือศรัทธาต่อพระเจ้า การอาศัยเหตุผลเพื่ออธิบายความศรัทธาซึ่งเป็นการทำให้เหตุผลกับความศรัทธามีอยู่ควบคู่กัน คงจะเป็นวิธีการหนึ่งที่ทำให้เราสามารถใช้ชีวิตอยู่ได้อย่างมีความสุข มีเป้าหมายในชีวิต พร้อมกับสามารถเข้าใจตัวเองและสิ่งรอบข้างได้อย่างมีเหตุผลมากขึ้น.

(ตีพิมพ์ใน ปาจารยสาร ฉบับที่ กันยายน-ตุลาคม-พฤศจิกายน 2555)




[1] สรุปเก็บความจาก ปานทิพย์ ศุภนคร. ปรัชญาตะวันตกสมัยกลาง. (กรุงเทพฯ : มหาวิทยาลัยรามคำแหง), 2552, น.79-80
[2] ตรีนุช พลางกูร เป็นอาจารย์ประจำภาควิชาปรัชญา คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง
[3] ประสงค์ กิตตินันทชัย. ลักษณะสำคัญของศาสนายูดาย. จาก เอกสารประกอบการเรียนวิชา ศาสนาเปรียบเทียบ. เอกสารอัดสำเนา (กรุงเทพฯ : มหาวิทยาลัยรามคำแหง)
[4] ยุคอัสมาจารย์ (Scholastic Period) เป็นยุคที่การศึกษาเจริญก้าวหน้าและเข้าสู่บรรยากาศของความคึกคักทางวิชาการอีกครั้งหนึ่ง ปัญญาความคิดใหม่ๆ ก็เกิดจากสำนักการศึกษาที่จัดตั้งขึ้น ปัญหาใหม่ๆ และแนวคิดใหม่ๆ ก็ถูกนำมาเสนอและวิพากษ์วิจารณ์จากนักบวชประจำสำนักศึกษาต่างๆ (School) โดยพัฒนาการของแนวคิดในยุคนี้สามารถแบ่งได้เป็น ระยะฟื้นฟูโดยกษัตริย์ Charlemagne (ค.ศ.800-1100) และระยะสร้างปัญหา (ค.ศ.1100-1200) (ปานทิพย์ ศุภนคร. อ้างแล้ว. น.35-37)
[5] ปานทิพย์ ศุภนคร. อ้างแล้ว, น. 38
[6] เรื่องเดียวกัน, น. 54-55
[7] เรื่องเดียวกัน, น.86

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น