วันเสาร์ที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

La La Land : ความไม่จริงกับความพร่าเลือนระหว่างตรรกะของความเป็นจริง.


กลายเป็นกระแสไปเสียแล้วสำหรับ "La La Land" ภาพยนตร์มิวสิคัลเรื่องดังในช่วงต้นปี 2560 ในฐานะของงานศิลปะในรูปแบบหนึ่ง ภาพยนตร์จึงมิได้เป็นเพียงเครื่องบันทึกซึ่งความเป็นจริงของโลกภายนอกอย่างเที่ยงตรง ศิลปะมิได้อยู่ในฐานะของ mimesis เหมือนกับยุคของเพลโตหรืออริสโตเติลอีกต่อไปเสียแล้ว ตรรกะของภาพยนตร์จึงมิใช่ตรรกะของความเป็นจริง หากแต่มันคือความสมจริงที่อ้างอิงกลับไปยังตรรกะของตัวมันเอง และในฐานะของงานศิลปะ ภาพยนตร์จึงเปิดพื่นที่ให้กับการตัดสินคุณค่าเชิงสุนทรียะที่มีแง่มุมในเชิงอัตวิสัย รางวัลต่างๆ มิได้การันตีซึ่งความดีงามของหนังไปเสียทั้งหมด


La La Land คืออะไร ในแง่หนึ่งมันคือคำแสลงของการหลุดออกจากโลกแห่งความเป็นจริง ภาพที่งดงามราวกับความฝันตลอดจนความไม่ลงรอยในเชิงเวลาอย่างจงใจของการแต่งกาย สิ่งแวดล้อม ตลอดจนเครื่องมือเครื่องใช้ เน้นย้ำถึงภาวะของการที่มันมิได้อยู่บนตรรกะของยุคสมัยของความเป็นจริง ความก้าวหน้าของสมาร์ทโฟนหรือรถยนตร์พริอุสดูจะขัดภาพของการเป็นภาพยนตร์มิวสิคัลในยุค 50 ตลอดจนการแต่งกายที่ดูย้อนยุค แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นภาพยนตร์ได้ประกาศไว้อย่างชัดเจนแล้วในตอนเริ่มต้นเรื่อง การเปิดเรื่องโดยภาวะของความเหนือจริง ฉากของการจราจร การออกมาเต้นกลางถนน และภาวะของความเกินจริงเปรียบเสมือนหมุดหมายอันเน้นย้ำถึงความเข้าใจที่คนดูอาจต้องปรับเปลี่ยน เพราะภาพยนตร์มิใช่ความจริงและสิ่งที่เกิดขึ้นในภาพยนตร์นั้นก็คงมิอาจเกิดขึ้นได้ในโลกแห่งความเป็นจริง

ในโลกแห่งความจริงคงไม่มีอะไรสมบูรณ์แบบ ราบเรียบ และมีความสุขได้ตลอดเวลา แต่การหลุดออกจากโลกแห่งความจริงก็คงมิได้หมายความว่าจะไม่มีเศษเสี้ยวของความเป็นจริง ภาพยนตร์ดำเนินเรื่องโดยแบ่งเป็น 4 องก์ ผ่านภาพตัวแทนของฤดูกาล ทุกสิ่งทุกอย่างเริ่มต้นจาก Winter อันน่าเหนื่อยหน่าย ผ่านไปสู่ Spring และ Summer อันเป็นฤดูกาลของความเร่าร้อนสดใส จนถึง Fall ที่ร่วงโรย และทุกสิ่งทุกอย่างก็ย้อนกลับมาสู่ Winter อันดูเหมือนการซ้ำรอยเดิม หากแต่ Winter ดังกล่าวกลับเป็น Winter ในอีก 5 ปีถัดมา ความสัมพันธ์ของมีอาและเซบาสเตียนเองก็ถูกอธิบายผ่านฤดูกาลดังกล่าว ถึงแม้ตอนท้ายภาพยนตร์จบลงด้วยการที่ทั้งสองมิอาจคู่กัน แต่เราปฏิเสธไม่ได้ว่าทั้ง Spring, Summer และ Fall นั้นเล่นล้อกับสภาวะความสัมพันธ์ของทั้งคู่อยู่ตลอดทั้งเรื่อง ในช่วงเวลาดังกล่าวดูจะเป็นเหมือนความฝันที่มีความสุข มีแต่ความราบรื่น สมบูรณ์แบบ ทั้งสองเป็นเพื่อนคู่คิด ช่วยกันแก้ปัญหา ซึ่งดูราวกับความฝันที่มีโอกาสเกิดขึ้นในโลกแห่งความจริงเพียงน้อยนิด การเริ่มต้นโดย Winter ที่ทั้งคู่ไม่รู้จักกันและจบลงโดย Winter ที่มิอาจยืนยันได้ว่าทั้งคู่รู้จักกันหรือไม่ หลายครั้งเราอาจพบคนบางคนในสภาวะของความพร่าเลือนบางอย่างและพบว่ามันคุ้นเคยในโลกแห่งความจริงด้วยเช่นกัน สิ่งเหล่านี้ทำให้เราอาจเข้าใจได้ว่า ความสัมพันธ์ระหว่างมีอาและเซบาสเตียนอาจไม่ได้เกิดขึ้นจริง หากแต่หลายครั้งแล้วความฝันและความจริงมิอาจแยกออกจากกันได้หมดจด เช่นเดียวกับตัวภาพยนตร์ที่ผสมกลมกลืนไปนะหว่างสิ่งที่เกิดขึ้นจริงและสิ่งที่อาจจะไม่เคยเกิดขึ้น เราจึงมิอาจบอกได้อย่างชัดเจนว่าจุดไหนคือความจริง หรือจุดไหนคือ "La La Land" อันหลุดออกจากความเป็นจริง หรือสุดท้ายแล้วการเริ่มต้นโดยภาวะเหนือจริงของภาพยนตร์มิวสิคัลจนถึงก่อนจะจบนั้นคือการหลอกล่อให้ผู้ชมหลงอยู่ใน "La La Land" ที่ภาพยนตร์สรางขึ้นทั้งสิ้น

จากคำวิจารณ์และรางวัลที่ได้รับอาจทำให้ผมรู้สึก "คาดหวัง" กับภาพยนตร์ La La Land อยู่มากไปเสียหน่อย และส่วนตัวผมกลับคิดว่าคำวิจารณ์เหล่านั้นทำให้กระแสมันดู Overrate ไปสักนิด สำหรับผม มันเป็นภาพยนตร์ที่ไปได้ไม่สุด มันไม่ได้แย่ แต่ก็มิได้ดีเลิศสมบูรณ์แบบขนาดที่สมควรจะต้องจดจำ และเมื่อเทียบกับภาพยนตร์มิวสิคัลในอดีตหลายๆ เรื่องที่ผมชอบ เช่น Chicago หรือ The Sound of Music ผมรู้สึกว่ายังคงชอบมันมากกว่าเรื่องนี้อยู่มากทีเดียว แม้มันจะมิได้ภาพสวยชวนฝันและคอสตูมอลังการเท่ากับ La La Land ก็ตาม

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น