วันเสาร์ที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

ตรุษจีนกับลูกเจ๊กยุคใหม่ : บันทึกว่าด้วยความพร่าเลือนของตัวตนและยุคสมัย


ผมเห็นย่าตั้งโต๊ะไหว้บรรพบุรุษแบบนี้มาตั้งแต่เด็ก ตามประสาลูกเจ๊กแต้จิ๋วในเจเนเรชันท้ายๆ ที่ไม่ได้ conscious ในความเป็นจีนของตัวเองเท่าไหร่นัก ตอนนั้นผมไม่รู้หรอกว่าทั้งหมดคืออะไร ทำไมต้องไหว้ ย่าบอกแต่เพียงว่า ตรุษจีนต้องไหว้ปู่ทวด ย่าทวด ปู่จ่าง และคนที่ตายไปแล้ว ผมก็ได้แต่ทำตาม และรู้แค่เรืองอั่งเปาตั่วตั่วไก๊ อันเป็นสิ่งที่เด็กจะได้ในช่วงตรุษจีน

จนเมื่อผมโตขึ้น บางทีการเรียนปรัชญาขงจื่อและหลายๆ เหตุการณ์ในชีวิตที่ผ่านไป ทำให้ผมรู้สึกถึงชาติกำเนิดตัวเองมากขึ้น ทุกวันนี้ผมภูมิใจที่จะบอกว่าตัวเองเป็นเจ๊กแต้จิ๋ว เมื่อย่าจากไป ในบ้านแทบไม่มีคนรู้ธรรมเนียม จารีต และอื่นๆ ผมจึงพยายามศึกษาและเข้าใจมันให้มากขึ้น และรู้สึกเป็นหน้าที่ที่ต้องสืบต่อจารีตในฐานะหลานชายคนโต (ซึ่งที่จริงก็ไม่ใช่ซะทีเดียว) เรื่องนี้อาจเป็นเพียงเรื่องไร้สาระสำหรับคนบางคน หลายคนอาจคิดว่าเป็นเพียงเรื่องงมงายของพวกเจ๊ก แน่นอนผมเคยคิดอย่างนั้นเหมือนกัน แต่เมื่อผมโตขึ้น ผมเข้าใจความหมายของมันมากขึ้น ความหมายที่อยู่เบื้องหลังพิธีกรรมอันแฝงไปด้วยความสำคัญของครอบครัว ความหมายอันผูกอยู่กับเบื้องหลังวัฒนธรรมของชาวไทยเชื้อสายจนอน่างแนบแน่น อันมิใช่เพียงแค่เรื่องงมงาย จนถึงตอนนี้ ผมนึกถึงคำพูดของ อ.สุวรรณา สถาอานันท์ อยู่คำหนึ่ง ผมเคยบอกท่านว่าผมไม่ชอบขงจื่อ เพราะความเป็น conservative ที่สนับสนุนขุนนาง ความเป็นชนชั้นศักดินา อาจารย์บอกแต่เพียงว่า ของบางอย่างมันต้องใช้เวลาที่จะเข้าใจมัน ตอนสาวๆ ฉันก็ไม่ชอบ แต่พออายุมากขึ้นฉันเลยเข้าใจ ...... ผมก็เพิ่งเข้าใจหลายๆ อย่างเช่นเดียวกัน (แต่ชอบมั้ยมันอีกเรื่องหนึ่ง หน้าที่คือหน้าที่)

วันนี้ผมต้องเป็นคนจัดการด้วยตัวเองทั้งหมด ย่ากลายเป็นเพียงผู้มาเยือน มารับของเซ่นไหว้จากลูกหลาน ผมยังคงระลึกและจำคำสั่งสอนของย่าได้ทุกอย่าง สำหรับผม นี่อาจเป็นแก่นแท้ของการไหว้บรรพบุรุษ .. การระลึกถึงผู้จากไป บรรพบุรุษที่ครั้งหนึ่งเคยอยู่ และสืบทอดวงศ์ตระกูล ตลอดจนสั่งสอนสิ่งที่ดีแก่ลูกหลาน .....

ผมคิดถึงย่า....

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น