วันศุกร์ที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

จิตรกรรมนามธรรม บทกวีรูปธรรม


เมื่อนัยของ “รูปธรรม” และ “นามธรรม” คือขั้วตรงข้ามที่แตกต่าง การดำรงอยู่ของสิ่งหนึ่งจึงสัมพันธ์กับการดำรงอยู่ของอีกสิ่งหนึ่ง โดยเฉพาะในพื้นที่ของศิลปะ การรับรู้สิ่งที่เป็น “รูปธรรม” และ “นามธรรม” จึงเป็นประเด็นปัญหาที่สำคัญประการหนึ่งอันน่าสนใจ

เมื่อ “รูปธรรม” และ “นามธรรม” คือสิ่งที่ตรงกันข้าม การรับรู้ “รูปธรรม” และ “นามธรรม” จึงกลายเป็นความแตกต่าง เมื่อ “รูปธรรม” เป็นสิ่งที่สามารถสังเกตและรับรู้ได้จากประสาทสัมผัส หากแต่รูปธรรมอาจมิได้หมายถึงทุกสิ่งที่รับรู้ได้จากประสาทสัมผัส หากแต่เป็นสิ่งที่เรารับรู้และเข้าใจได้เลยจากประสาทสัมผัส ในผลงานจิตรกรรม รูปธรรมก็เป็นสิ่งที่รับรู้ได้จากการมองเห็น แต่นามธรรมกลับตรงกันข้าม เมื่อนามธรรมอาจเป็นสิ่งที่ไม่สามารถรับรู้ได้ผ่านประสาทสัมผัส แต่กระนั้นก็มิได้หมายความว่านามธรรมสภาพจะไม่มีอยู่ ซึ่งการรับรู้ “นามธรรม” เป็นการรับรู้และเข้าใจที่เกิดจากจิตใจ ความรู้สึก และระบบความคิดเสียมากกว่าการเข้าใจได้เลยจากประสาทสัมผัส


ภายใต้ “รูปธรรม” ก็มีภาวะ “นามธรรม” ในทัศนะของจ่าง แซ่ตั้ง ศิลปะเป็นผลงานปัญญาที่แสดงออกด้วยความนึกคิดและอารมณ์แสดงออก นัยของศิลปะจึงมิใช่เพียงแค่รูปทรงรูปร่างที่ถูกสร้างขึ้น หากแต่สิ่งที่อยู่เบื้องหลัง สิ่งที่อยู่นอกเหนือตัวบท กลายเป็นสิ่งที่สำคัญมากกว่าสิ่งที่ปรากฏ สุนทรียของการไม่ปรากฏทำให้สิ่งที่ปรากฏและสิ่งที่ไม่ปรากฏจำเป็นต้องถูกพิจารณาในการเสพงานศิลปะ แต่กระนั้น สิ่งที่ไม่ปรากฏก็ยังคงต้องถูกอ้างอิงจากตัวบทที่ปรากฏผ่านการรับรู้ทางประสาทสัมผัส หากในแง่ความรู้สึก สาร เรื่องราว หรือรูปปัญญาที่ปรากฏอยู่จำเป็นต้องถูกพิจารณามากกว่าเพียงแค่การรับรู้ทางประสาทสัมผัส สิ่งเหล่านี้อาจเรียกได้ว่าเป็น “ภาวะนามธรรม” ที่เป็นการรับรู้โดยจิตใจหรือปัญญาที่มากไปกว่าเพียงแค่การรับรู้ทางประสาทสัมผัสนั่นเอง

ภายใต้วิธีคิดแบบโบราณ ภาพจิตรกรรมอาจเป็นเพียงแค่ภาพตัวแทนของสิ่งที่มีอยู่จริง และเราสามารถรับรู้ได้ว่ามันคืออะไรที่อ้างอิงไปถึงวัตถุแห่งความเป็นจริง ภาพจิตรกรรมจึงเป็นศิลปะที่เป็นรูปธรรม แต่อย่างไรก็ตามเมื่อกล้องถ่ายรูปเข้ามามีบทบาทสำหรับการบันทึกความเป็นจริงแทนที่งานศิลปะ สิ่งที่สำคัญกว่านั้นจึงมิใช่เพียงแค่สิ่งที่เห็นอย่างเป็นรูปธรรม หากแต่ยังมีสิ่งที่เกิดจากสุนทรียแห่งการไม่ปรากฏ จ่าง แซ่ตั้ง เคยแสดงทัศนะอันเป็นปรัชญาค้นพบจากการสร้างงานศิลปะไว้ว่า ในขอบเขตพื้นที่การสร้างสรรค์งานจิตรกรรม มีเพียงแค่สองสิ่ง นั่นคือ ความคิดอันถ่ายทอดมาเป็นเรื่องราว และความรู้สึก ซึ่งแม้แต่งานจิตรกรรมในวิธีคิดแบบเก่าก็สามารถพิจารณาได้จากทัศนะดังกล่าว ซึ่งคงไม่มีศิลปินผู้ใดสร้างงานศิลปะโดยปราศจากความคิดหรือความรู้สึกแน่นอน อย่างน้อยก็เพียงแค่เศษเสี้ยวความคิดและความรู้สึกของศิลปินนั่นเอง สิ่งเหล่านี้ก็อาจถูกจัดว่าเป็นภาวะนามธรรมที่แฝงอยู่เบื้องหลังรูปธรรมของงานศิลปะนั่นเอง

สภาวะนามธรรมที่อยู่เบื้องหลังรูปธรรมของงานศิลปะจึงทำให้เกิดแนวคิดของศิลปะนามธรรม ภายใต้แนวคิดสุนทรียแห่งการไม่ปรากฏ สภาวะนามธรรมเบื้องหลังเป็นสิ่งที่รับรู้ได้จากการรับรู้รูปธรรมผ่านประสาทสัมผัส แต่อย่างไรก็ตามการรับรู้ภาวะนามธรรมคงมิได้จำเป็นต้องเกิดจากการรับรู้ผ่านรูปธรรมสภาพ ที่ทำให้งานศิลปะจำเป็นต้องผลิตความหมายทั้งในส่วนของรูปธรรมและความหมายในเชิงนามธรรม ในอดีตที่จ่างเคยรับจ้างเขียนภาพเหมือน งานที่ได้รับจ้างหลายชิ้นเป็นการขยายภาพจากขนาดเล็กให้เป็นขนาดใหญ่ การทำงานจำเป็นต้องใช้แว่นขยาย เมื่อจ่างมองภาพจากแว่นขยาย จ่างก็ค้นพบอณูเล็กๆ ที่ประกอบขึ้นมาเป็นรูปเป็นร่าง เพียงแค่ประสาทสัมผัสคงไม่สามารถรับรู้ความหมายเบื้องหลังของสิ่งเล็กๆ เหล่านั้นได้ เมื่ออณูเล็กๆ เหล่านั้นเป็นเสมือนสิ่งนามธรรมที่ประกอบขึ้นมาให้เป็นรูปธรรมที่สามารถสื่อสารทางประสาทสัมผัสได้ งานนามธรรมของจ่างจึงมิใช่เพียงแค่แนวคิดของการลดทอน หากแต่เป็นการขยายการรับรู้ลงไปสู่ความเป็นนามธรรมที่อยู่เบื้องหลัง ถ้าพิจารณาจากแนวคิดของจ่าง งานศิลปะนามธรรมของจ่างจึงเป็นงานที่โน้มเอียงไปในเรื่องของความรู้สึกเสียมากกว่า เพราะอย่างน้อยที่สุดความคิดก็ผูกติดอยู่กับภาษา เรื่องราว อันเป็นการบอกเล่าที่เป็นรูปธรรม หากแต่สิ่งที่อยู่ในงานนามธรรมของจ่าง เป็นการสื่อสารอารมณ์ พลังงาน และสภาวะในขณะนั้น ผ่านเส้น จุด และทุกๆรอยฝีแปรงของจ่าง อันเป็นการทำงานของความรู้สึกและการแสดงออกจากสิ่งที่อยู่ภายในของศิลปินลงบนผืนผ้าใบ สิ่งที่ถูกถ่ายทอดลงมาสู่งานนามธรรม จึงเป็นอะไรที่มากกว่าความคิดในเชิงรูปธรรมที่เพียงแค่รับรู้ได้ว่าสิ่งเหล่านั้นคืออะไร เป็นรูปตัวแทนของอะไร

งานศิลปะนามธรรมของจ่าง สะท้อนให้เห็นถึงความสนใจในการสร้างงานศิลปะโดยเล่นกับพรมแดนของการรับรู้ นอกจากการเป็นจิตรกร ในสถานะของกวีและผลงานบทกวีรูปธรรมก็เน้นย้ำนัยของการเล่นกับพรมแดนการรับรู้ได้อย่างชัดเจน เมื่อในอดีตแล้วสิ่งที่สำคัญของกวีคือนามธรรมสภาพเบื้องหลังอันเป็นความหมายของรูปสัญญะทางภาษา เมื่อการรับรู้รูปธรรมของรูปสัญญะในแต่ละตัวอักษรมิได้ทำให้ตัวอักษรมีความหมาย กวีจึงเป็นสิ่งที่ต้องอาศัยการรับรู้ที่มากกว่าเพียงแค่การรับรู้ตัวอักษรทางประสาทสัมผัส สิ่งสำคัญของบทกวีจึงเป็นความหมายอันเป็นนามธรรมสภาพที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังตัวบท มิใช่รูปธรรมอันปรากฏแก่การมองเห็น ขอบเขตของการรับรู้บทกวีจึงต่างกับงานจิตรกรรม เพราะบทกวีจำเป็นต้องอ่าน หากแต่งานจิตรกรรมจำเป็นต้องดู (ถึงแม้จะต้องอ่านไปถึงสภาวะนามธรรมเบื้องหลัง แต่ก็เป็นการอ่านในแบบที่แตกต่างไปจากบทกวี) ขอบเขตดังกล่าวมิได้เป็นกรอบที่ทำให้จ่างต้องทำงานในรูปแบบเดิมๆ เมื่อจ่างทำให้บทกวีกลายเป็นบทกวีรูปธรรม ที่นอกจากความหมายอันเป็นนามธรรมสภาพเบื้องหลังแล้ว รูปธรรมอันเกิดจากการประกอบขึ้นระหว่างรูปสัญญะของตัวอักษรกับการสัมพันธ์ประกอบของแต่ละตัวอักษรและพื้นที่จนเป็นรูปร่าง เป็นสิ่งที่ประกอบการสร้างความหมาย นอกจากความหมายที่สามารถรับรู้โดยรูปธรรมจากการมองเห็น สิ่งที่อยู่เบื้องหลังรูปธรรมก็คือความหมายนามธรรมอันอยู่เบื้องหลังคำแต่ละคำนั่นเอง บทกวีรูปธรรมของจ่างจึงเป็นการสร้างพรมแดนใหม่ของการสื่อสารจากผลงานศิลปะที่แตกต่างจากกรอบแบบเดิมๆ ซึ่งบทกวีถูกสร้างจากความหมายในเชิงนามธรรมอย่างเดียว หากแต่กับบทกวีรูปธรรมของจ่าง ผู้ชมจึงต้องพิจารณาทั้งความหมายในเชิงนามธรรมและความหมายจากรูปร่างที่ประกอบกันเป็นรูปธรรมนั่นเอง

การเปิดพรมแดนการรับรู้ใหม่ๆ ของจ่าง ผ่านงานจิตรกรรมนามธรรมและบทกวีรูปธรรม จึงเป็นเสมือนรอยต่อของศิลปะร่วมสมัยที่มิได้จำกัดอยู่เพียงแค่ในระบบระเบียบแบบเดิมๆ หากแต่งานของจ่างอาจสอดคล้องกับแนวคิดหลังสมัยใหม่ที่มิได้ถูกจำกัดไว้กับอภิมหาอรรถกถาธิบายอันเป็นนิยามแบบเดิมๆ ที่ผูกขาดความถูกต้อง แม้จ่างเองจะมิได้สนใจกับแนวคิดหลังสมัยใหม่อันเนื่องจากเหตุผลความล้าหลังในการสื่อสารซึ่งทำให้ยากต่อการเข้าถึงข้อมูลดังกล่าว แต่ก็เป็นเรื่องที่น่าอัศจรรย์ใจที่งานของจ่างกลับดูเหมือนจะข้ามพ้นความเป็น “สมัยใหม่” ที่ผูกกับช่วงเวลาในขณะนั้นไปสู่ความเป็น “หลังสมัยใหม่” ที่อาจกลายเป็นศิลปะที่มาก่อนกาลนั่นเอง

จิตรกรรมนามธรรม และ บทกวีรูปธรรม จึงเป็นเสมือนปรัชญาค้นพบสำคัญ อันเป็นเสมือนงานชิ้นเองของจ่าง ปรัชญาค้นพบดังกล่าวอันไม่ได้รับอิทธิพลใดๆ จากตะวันตกนี้ทำให้จ่างเป็นบุคคลสำคัญคนหนึ่งในพื้นที่ประวัติศาสตร์ศิลปะของไทย.

(บทความประกอบสูจิบัตรนิทรรศการ "จ่าง แซ่ตั้ง : จิตรกรรมนามธรรม บทกวีรูปธรรม" โดยนิทรรศการจัดขึ้นตั้งแต่ 15 กุมภาพันธ์ - 28 เมษายน 2555 ณ หอศิลป์ g23 อาคารนวัตกรรม ศ.ดร. สาโรช บัวศรี มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ สุขุมวิท 23 กรุงเทพฯ)

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น