วันอาทิตย์ที่ 8 มกราคม พ.ศ. 2560

"Kimi no nawa"


1. ว่าด้วยการสลับร่าง : ความเหลื่อมล้ำทางชนชั้นของชนบทและสังคมเมือง

ในช่วงปลายปี 2559 คงไม่มีภาพยนตร์เรื่องไหนเป็นกระแสโด่งดังเท่ากับภาพยนตร์แอนิเมชันจากญี่ปุ่นเรื่องหนึ่ง อันเป็นผลงานของ Makoto Shinkai ภาพยนตร์แอนิเมชันเรื่องนั้นคือ Kimi no nawa หรือในชื่อภาษาอังกฤษว่า Your Name และชื่อภาษาไทยว่า “หลับตาฝัน ถึงชื่อเธอ" ภาพยนตร์ดังกล่าวทำลายสถิติรายได้เปิดตัวในช่วงสุดสัปดาห์ของประเทศญี่ปุ่น โดยกวาดรายได้ไปเกือบ 1 พันล้านเยน

Kimi no nawa เป็นเรื่องราวของตัวละคร 2 คน คือ มิตสึฮะ และ ทาคิ ความห่างไกลและแตกต่างพาทั้งสองมาพบกันผ่านการ “สลับร่าง” แน่นอนว่าพลอตดังกล่าวคงมิใช่พลอตที่แปลกใหม่นัก และมักจะพบได้ในละครหลังข่าวที่เป็นที่ถูกอกถูกใจชาวเมือง แต่อย่างไรก็ตาม Kimi no nawa ก็คงมิใช่เพียงแค่นวนิยายน้ำเน่าที่หวังเพียงการสร้างความ “ฟิน” แต่เบื้องหลังผลงานของ Shinkai มีเรื่องราวอยู่มากมายหลายอย่าง ความโดดเด่นและแปลกแยกอย่างจงใจในบางฉากบางตอนเรียกร้องผู้ชมให้ค้นหาความหมายบางอย่างอันซ่อนอยู่เบื้องหลังความ “ฟิน” ของตัวบทภาพยนตร์

การสลับร่างดูเป็นพลอตที่ธรรมดาซ้ำซากในละครน้ำเน่าหลังข่าว เหตุใดผู้ชมถึงรู้สึกกระดี๊กระด๊าและชื่นชอบจนกลายเป็นกระแสเช่นนั้น หากเราพิจารณาว่าการสลับร่างมิใช่ประเด็นหลักแต่คือความจำเป็นในการเสนออะไรบางอย่าง การสลับร่างของทั้งมิตสึฮะและทาคิจึงเป็นเสมือนการสื่อสารถึงความหมายบางประการอันมากไปกว่านั้น

ทำไมต้องเป็นมิตสึฮะและทาคิมันไม่ยากหากตอบแบบกำปั้นทุบดินว่าเพราะมิตสึฮะเป็นนางเอก และทาคิเป็นพระเอก แต่หากพิจารณาลึกลงไปอีก มิตสึฮะอาศัยอยู่ในเมืองอิโตโมริซึ่งตามบริบทของภาพยนตร์บ่งบอกว่าน่าจะเป็นเมืองที่อยู่ห่างไกลจากความเป็นเมืองหรืออีกนัยหนึ่งเป็นเมืองชนบทเล็กๆ ที่ทุกคนรู้จักกัน การเน้นย้ำความ “ไม่มีอะไร” ด้วยการอธิบายว่ารถไฟมาทุกๆ 2 ชั่วโมง ร้านสะดวกซื้อปิด 3 ทุ่ม ทั้งเมืองไม่มีร้านหนังสือ ไม่มีหมอฟัน แต่ยังมีผับ 2 แห่งด้วยเหตุผลบางอย่างอันไม่บอกแน่ชัด เราอาจอนุมานจากข้อมูลที่ตัวภาพยนตร์ให้มาได้ว่าลักษณะของเมืองอิโตโมริเป็นเมืองที่ยังไม่พัฒนาเมื่อเทียบกับเมืองหลวงอย่างโตเกียวอันเป็นที่อยู่ของทาคิ ร้านสะดวกซื้อที่ปิด 3 ทุ่มบ่งบอกถึงบริบทที่ไร้ชีวิตยามค่ำคืน การไม่มีทั้งร้านหนังสือและหมอฟันอันเป็นตัวแทนขององค์ความรู้ในสังคมสมัยใหม่เน้นย้ำถึงภาวะของความไม่เป็นสมัยใหม่ในเมืองอิโตโมริ และนัยดังกล่าวยังถูกเน้นย้ำด้วยข้อมูลของตัวละครอย่างมิตสึฮะที่เกิดขึ้นในครอบครัวอันเป็นทายาทของศาลเจ้ามิยะมิซึ (宮水神社) อีกทั้งชีวิตของมิตสึฮะและครอบครัวยังเกี่ยวข้องกับพิธีกรรมหลายๆ อย่าง เช่น การถักเชือก พิธีกรรมของศาลเจ้า ตลอดจนการเป็นผู้สืบทอด สิ่งเหล่านี้ขัดแย้งกับเรื่องราวของทาคิอย่างตรงกันข้าม

หากมิตสีฮะเป็นตัวแทนของชนบท ในขณะที่ทาคิเป็นตัวแทนของสังคมเมือง การสลับร่างดังกล่าวคงดูราวกับเป็นการเติมเต็มอะไรบางอย่าง แต่สำหรับ kimi no nawa การสลับร่างดังกล่าวอาจมิใช่การเติมเต็มอะไรบางอย่างที่สมดุลกันระหว่างชาวเมืองกับชนบท ภาพของสังคมเมืองดูจะไม่ได้ถูกสนใจมากนัก สังคมเมืองจึงแตกต่างกับชนบทเพียงแค่ผู้คนและเทคโนโลยีที่แตกต่าง ในขณะที่สำหรับสังคมชนบทมีลักษณะเป็นสภาพสังคมแบบเก่าที่ค่อนข้างปิดและแปลกแยกออกจากสังคมอื่นๆ อีกทั้งยังคงบูชาเทพเจ้า การเติมเต็มดังกล่าวจึงดูเป็นการเติมเต็มเพียงแค่มิตสึฮะเพียงฝ่ายเดียว ในขณะที่ประสบการณ์แปลกใหม่ของทาคิมิได้เป็นการเติมเต็มความปรารถนา หากแต่เป็นเพียงประสบการณ์เพิ่มเติมที่คนเมืองได้มีโอกาสไปเห็นชนบทเสียมากกว่า การสลับร่างจึงยังคงเน้นย้ำถึงความเหลื่อมล้ำและแตกต่างของชาวเมืองและชนบทอย่างชัดเจน ในขณะที่ชาวชนบทต้องการมีชีวิตที่ดีขึ้นโดยการเข้าไปสู่สังคมเมือง แต่การออกไปสู่ชนบทของชาวเมืองมิได้มีอะไรสลักสำคัญนอกเหนือไปจากการเป็นประสบการณ์ชุดหนึ่ง ที่ถูกหลงลืมโดยท้ายที่สุด แต่อย่างไรก็ตาม ตัวหนังก็ยังแอบแฝงไปด้วยน้ำเสียงที่วิพากษ์วิจารณ์สังคมเมืองอันนำไปสู่ความโดดเดี่ยว การที่สามารถรักคนที่ไม่รู้จักกันอันมาจากดินแดนที่ไม่รู้จักเลย เน้นย้ำถึงความสมบูรณ์แบบของเมืองอันนำมาสู่สภาวะขาดพร่องในตัวเอง เราจึงสามารถรักสิ่งที่แตกต่างหรือสิ่งที่ไม่รู้จักได้นั่นเอง

ถ้าเรามองในกรอบของความแตกต่างระหว่างสังคมชนบทและสังคมเมือง ดูเหมือนว่าภาพยนตร์จะเน้นย้ำถึงประเด็นนี้อยู่เสมอๆ ภาพความขัดแย้งของวิถีชีวิตชนบทและสังคมเมืองยังถูกเน้นย้ำด้วยความสัมพันธ์ระหว่างครอบครัวทายาทศาลเจ้าของมิตสึฮะกับพ่อผู้เป็นนายกเทศมนตรี ถึงแม้ว่าจะยังมีความขัดแย้งกันอยู่ตลอดเวลา และท้ายที่สุด ความเหลื่อมล้ำของสังคมชนบทและสังคมเมืองนั้นมีอยู่จริง การสลับร่างระหว่างทั้งสองจึงเป็นความแปลกแยกที่ต่อไม่ติดในครั้งแรกๆ อีกทั้งการช่วยเหลือชาวเมืองอิโตโมริในเหตุการณ์ดาวตกจากทาคิ ตลอดจนการพยายามเรียกร้องความช่วยเหลือจากนายกเทศมนตรี แสดงให้เห็นว่า สังคมชนบทยังคงต้องพึ่งพาความช่วยเหลือจากความเจริญในสังคมเมืองต่อไป

2. ว่าด้วย “มิซูบิ” 

ดูเหมือนว่าเรื่องราวเกือบทั้งหมดของภาพยนตร์แอนิเมชัน Kimi no nawa จะเกี่ยวข้องกับมิซูบิเกือบทั้งหมด อาจไม่ผิดนักหากกล่าวว่าหัวใจสำคัญของภาพยนตร์ที่เป็นตัวเดินเรื่องราวทั้งหมดนั้นก็คือมิซูบิ และมิซูบิปรากฏอยู่ในทั่วทุกอณูของภาพยนตร์เรื่องนี้ด้วยเช่นกัน

อะไรคือมิซูบิ ภาพยนตร์พูดถึงความหมายของมิซูบิในตอนที่มิตสึฮะ ยาย และยทสึฮะน้องสาวเดินทางไปบนเขาเพื่อหาเทพเจ้าและเข้าสู่แดนยมโลก มุซึบิคือความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งต่างๆ การเชื่อมสัมพันธ์ต่อสิ่งต่างๆ ระหว่างมนุษย์ เทพเจ้า ธรรมชาติ หรือแม้แต่การเวียนว่ายของกาลเวลา ภาพยนตร์อาศัยการถักเชือกเป็นสิ่งที่อธิบายมิซูบิได้อย่างน่าสนใจ การถักเชือกเป็นภาวะที่เชือกมาบรรจบต่อเป็นรูปร่าง หมุนเป็นเกลียว พันกันยุ่งเหยิง หลายครั้งก็คลายออก ขาด และเชื่อมกันอีกครั้ง เชือกเป็นตัวแทนของเวลา และสิ่งเหล่านี้คือมิซูบิ และเมื่อทั้งเชือกและเวลาเป็นมิซูบิ จึงนำมาสู่ความสัมพันธ์โยงใยข้ามกาลเวลาของทั้งมิตสึฮะและทาคิ

หากการสลับร่างระหว่างมิตสึฮะและทาคิก่อให้เกิดความสัมพันธ์กัน การพบพาน จากพราก และพบกันใหม่ สิ่งเหล่านี้สะท้อนนัยของมิซูบิอย่างชัดเจน การเทียบมิซูบิกับภาวะของการถักเชือก ทั้งการหมุนเป็นเกลัยว พัน ขาด และเชื่อมกัน สะท้อนให้เห็นถึงภาวะของการควบคุมไม่ได้ของมิซูบิ การพบกันระหว่างมิตสึฮะและทาคิจึงถูกอธิบายผ่านภาวะของการอธิบายไม่ได้ของมิซูบิ การที่ทั้งสองสลับร่างกันก่อให้เกิดความสัมพันธ์ระหว่างกัน การสลับร่างผ่านการนอนหลับและความฝันสะท้อนให้เห็นถึงสถานะของความฝันในฐานะมิซูบิ ในขณะที่เราฝัน เราพบเจอกับประสบการณ์อีกชุดหนึ่ง อาจเป็นคนที่เราเคยเจอ สิ่งในจินตนาการ หรือประสบการณ์ในอดีต การเชื่อมโยงเราเข้ากับประสบการณ์ดังกล่าว จึงทำให้ความฝันเป็นมิซูบิเช่นเดียวกับความฝันที่ทำให้มิตสึฮะและทาคิรับรู้ถึงประสบการณ์ของกันและกันนั่นเอง นอกจากนี้การแทนที่มิซูบิด้วยเส้นเชือก สะท้อนถึงการคล้ายกันระหว่างเส้นเชือกกับลักษณะของดาวหาง การพบกันของทั้งสองเริ่มต้นขึนด้วยเรื่องราวของดาวหางอันสังเกตได้จากเรื่องราวของดาวหางที่ปรากฏขึ้นในข่าวโทรทัศน์ ในขณะเดียวกันภายหลังจากเหตุการณ์ที่ดาวหางตก การพบกันและสลับร่างกันของทั้งสองก็จบสิ้นลง

นัยของมิซูบิยังคงถูกเน้นย้ำด้วยเรื่องราวของครอบครัวมิตสึฮะ การเป็นทายาทของครอบครัวศาลเจ้าเน้นย้ำถึงนัยของมิซูบิที่มีอย่างเหลือล้นในสังคมดั้งเดิม ศาลเจ้าเป็นสถานที่ที่ผู้คนต่างๆ เข้ามามีประสบการณ์ร่วมกัน เกิดความสัมพันธ์ เหตุการณ์ และประสบการณ์ต่างๆ ศาลเจ้าจึงมีบทบาทในการเชื่อมโยงผู้คนเข้าด้วยกันผ่านประเพณีต่างๆ ในแง่นี้ศาลเจ้าและประเพณีจึงเป็นมิซูบิ นอกจากนี้นัยของมิซูบิยังถูกเน้นย้ำด้วยภาวะของการสืบทอดในครอบครัวของมิตสึฮะ ถึงแม้ความหมายต่างๆ ของประเพณีจะสูญหายไปจากสภาวะและเหตุการณ์ แต่การสืบทอดคือการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างปัจจุบันกับอดีต ซึ่งความสัมพันธ์ดังกล่าวก็คือมิซูบิ และนอกจากนี้ มิซูบิยังทำให้มิตสึฮะและทาคิได้พบกันอีก คุชิคามิสาเกของมิตสึฮะที่ถูกนำไปวางทิ้งไว้ในร่างของเทพเจ้าที่ยมโลกถูกนิยามว่าเป็นมิซูบิ สาเกนั้นเป็นเสมือนครึ่งชีวิตของมิตสึฮะ และอีกนัยหนึ่งสาเกนั้นคือสิ่งที่ทำให้เกิดความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับเทพเจ้า สาเกนั้นจึงเป็นมิซูบิ และนัยความเป็นมิซูบิของสาเกถูกเน้นย้ำจากการที่ทาคิมาดื่มสาเกเข้าไปและได้สลับร่างกัน

นอกจากนี้สิ่งที่ถูกนิยามในฐานะของมิซูบิอีกอย่างหนึ่งก็คือช่วงเวลาสนธยา ในตอนต้นของเรื่อง สภาวะของสนธยาถูกอธิบายผ่านการสร้างคำในภาษาญี่ปุ่น tasokare อันเป็นคำถามว่านั่นคือใคร ซึ่งพ้องเสียงกับคำว่า tasogare-doki ซึ่งหมายถึงท้องฟ้าที่มีแสง คำที่เก่ากว่านั้นคือ karetaso จากความหมายดังกล่าว สนธยาจึงเป็นช่วงเวลาแห่งการพบกับสิ่งที่ไม่เคยพบ อาจจะเป็นมนุษย์ ภูติ หรือสิ่งอื่นๆ ในความเชื่อดั้งเดิมสนธยาเป็นมิซูบิอยู่แล้ว แต่ในภาพยนตร์นัยของมิซูบิเองก็ถูกเน้นย้ำผ่านการพบกันครั้งสุดท้ายระหว่างมิตสึฮะและทาคิ ถึงแม้ทั้งสองจะอยู่คนละช่วงเวลา แต่ก็สามารถมาพบกันได้ในยามสนธนา ทั้งนี้การพบพาน จากพราก และพบกันใหม่ สิ่งเหล่านี้คือ "มิซูบิ" นั่นเอง

3. ชื่อ ความทรงจำ และบุพเพสันนิวาส : หลับตาฝัน ถึงชื่อเธอ

อีกสิ่งหนึ่งที่ดูจะเป็นประเด็นสำคัญในเรื่องก็คือเรื่องของเชือกสีแดงที่ปรากฏคล้องระหว่างทั้งสองทั้งในเพลงนำเรื่องของภาพยนตร์และในเหตุการณ์ที่มิตสึฮะและทาคิได้พบกันครั้งแรก เชือกสีแดงดังกล่าวทำให้เราสามารถโยงกลับไปถึงความเชื่อเรื่องด้ายแดงในวัฒนธรรมตะวันออก ทั้งนี้ด้ายแดงเป็นตัวแทนของคู่แท้ พรหมลิขิต หรือบุพเพสันนิวาส โดยเชื่อกันว่าบุคคลที่เกิดมาเป็นคู่กันจะถูกเชื่อมโยงเข้าด้วยกันผ่านด้ายแดงที่มองไม่เห็น ซึ่งด้ายแดงแห่งโชคชะตานี้จะเชื่อมโยงกับทั้งสองฝ่ายตลอด ไม่ว่าทั้งคู่จะอยู่ที่ใด ณ เวลาใด หรือชาติภพใดก็ตาม ด้ายแดงนี้อาจจะยืดตึง หรืออาจจะพันกันได้ แต่ไม่อาจตัดขาดออกจากกันได้ การที่มิตสีฮะและทาคิถูกเชื่อมโยงด้วยด้ายแดงในการพบกันครั้งแรกจึงเปรียบเสมือนการสร้างความสัมพันธ์เชิงสัญลักษณ์ระหว่างกัน ในแง่นี้ทั้งด้ายแดงและบุพเพสันนิวาสจึงถูกนิยามให้เป็นมิซูบิ สิ่งที่หลงเหลืออยู่ในเชือกแดงที่มิตสึฮะทิ้งไว้ให้กับทาคิก็คือประสบการณ์บางอย่างของทั้งสองคน ในแง่หนึ่งถึงแม้การสลับร่างกันของทั้งสองจะเป็นเรื่องที่อธิบายได้ยาก แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าสิ่งที่เชื่อมทั้งสองเข้าด้วยกันก็คือมิซูบิ ในด้านหนึ่งคือชุดประสบการณ์บางอย่างที่แฝงฝังอยู่ในเหตุการณ์รายรอบด้ายแดงที่ทาคิได้ครอบครองเอาไว้ อีกด้านหนึ่งคือภาวะของความปรารถนาที่มีต่ออะไรบางอย่าง ความปรารถนานั้นนำพาให้เราสัมพันธ์กับอะไรบางอย่าง อย่างน้อยก็ผ่านภาวะทางจิตใจ ความปรารถนานั้นก็คือมิซูบิ ทั้งสองจึงถูกเชื่อมเข้าด้วยกันผ่านด้ายสีแดงและความปรารถนาของมิตสึฮะในการที่อยากไปใช้ชีวิตในเมืองอันเป็นมิซูบิ และความเชื่อมโยงของทั้งสองก็จบลง ภายหลังจากที่ทาคิได้คืนด้ายแดงให้กับมิตสึฮะ

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ดูเหมือนจะเป็นมิซูบิที่สำคัญอย่างที่สุดและทุกคนจะต้องมีสิ่งนี้ นั่นก็คือความทรงจำ เพราะความทรงจำเป็นสิ่งที่เชื่อมโยงระหว่างบุคคลกับเหตุการณ์หรือบุคคลกับบุคคล ความทรงจำที่ปรากฏขึ้นจึงเป็นสิ่งที่เชื่อมโยงระหว่างบุคคลกับประสบการณ์ อาจจะเป็นประสบการณ์ในอดีตที่เคยเกิดขึ้น หรือในบางภาวะที่ความทรงจำนั้นเรือนลางเต็มทน การบิดเบือน ไม่ชัดเจน ทำให้ประสบการณ์บางอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นอาจกลายมาเป็นความทรงจำด้วยเช่นกัน ถึงแม้ในความเชื่อชินโต ความเชื่อชินโตจะถือว่า "ชื่อ" เป็นเหมือนส่วนหนึ่งของวิญญาณ อีกนัยหนึ่งชื่ออาจเป็นการนิยามบุคคล บ่งบอกถึงภาวะของการจำได้/รู้จัก การที่ทั้งทาคิและมิตสึฮะ ลืม "ชื่อ" ของอีกฝ่ายเป็นอันดับแรก เป็นสัญญาณของการลืมเรื่องราวระหว่างกันไป และการที่จะเขียนชื่อไว้ไม่ให้ลืมกันเป็นความมุ่งหมายที่มิอยากให้ชื่อและความทรงจำอันเป็นมิซูบิที่เชื่อมสัมพันธ์กันนั้นหายไป แต่สุดท้ายเขาทั้งสองก็มิอาจต้านทานธรรมชาติของมิซูบิที่มีทั้งการพบพาน และการจากพรากอันเป็นส่วนหนึ่งของความสัมพันธ์นั่นเอง

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น